เครือข่ายประมงพื้นบ้านจับมือองค์การภาคประชาสังคมด้านแรงงาน ร่วมกันแถลงในนาม ภาคีเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมเพื่ออาหารทะเลที่เป็นธรรมและยั่งยืน (Civil Society’s Coalition for Ethical and Sustainable Seafood) เปิดเผยผลวิจัย 2 ชุด พบแรงงานประมงในไทยยังต้องทำงานเกินชั่วโมงที่กฎหมายกำหนด เสี่ยงอันตราย และเข้าถึงข้อมูลด้านสิทธิน้อย ส่วนประมงแบบไม่ยั่งยืนทำเศรษฐกิจเสียหายไม่น้อยกว่า 145 ล้านบาทต่อปี เสนอปรับปรุงการบังคับใช้กฎหมาย ระบบตรวจสอบ และการร้องเรียนในอุตสาหกรรมประมง ตลอดจนเร่งประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม เศรษฐกิจและสังคมของการประมงไม่ยั่งยืนอย่างจริงจัง
แรงงานประมงในไทยทำงานเกินเวลา เสี่ยงอันตราย รู้สิทธิน้อย
งานวิจัยชิ้นแรกคือ ชีวิตติดร่างแห: รายงานสิทธิแรงงานในอุตสาหกรรมประมงไทย ค้นพบว่าแรงงานที่ทำงานบนเรือประมงไทยถึง 1 ใน 5 ต้องทำงานเกิน 14 ชั่วโมงต่อวัน และมากกว่า 1 ใน 3 ไม่ได้นอนพักผ่อน 6 ชั่วโมงติดต่อกัน ซึ่งถือว่าผิดกฎหมายแรงงานที่กำหนดให้ทำงานไม่เกิน 14 ชั่วโมงต่อวัน และมีเวลาพักผ่อนอย่างน้อย 6 ชั่วโมงติดต่อกัน โดยแรงงาน 92% ที่ให้ข้อมูลเปิดเผยด้วยว่านอกจากการทำงานบนเรือประมงแล้ว พวกเขายังต้องทำงานเพิ่มเติมบนฝั่งอีกราว 5 ชั่วโมงในวันที่นำเรือเข้าฝั่งและออกจากฝั่งด้วย
นางสาวสุธาสินี แก้วเหล็กไหล ผู้ประสานงานเครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ (MWRN) เปิดเผยว่า “งานบนเรือก็หนักอยู่แล้ว แรงงานประมงทั้งคนที่ต้องทำงานเกินเวลาตามกฎหมายและไม่เกิน เกือบทุกคนยังต้องทำงานบนฝั่งเพิ่มเติมอีก จะเห็นว่าพวกเขาต้องทำงานหนักมากๆ เพื่อแลกกับค่าจ้าง ซึ่งตรงนี้เรามองว่าเป็นช่องโหว่ที่ภาครัฐควรเข้ามาตรวจสอบและกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับชั่วโมงการทำงานให้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น”
ภาคีเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมฯ ระบุว่าความพยายามการปกป้องสิทธิแรงงานประมงในไทยมีความก้าวหน้าหลายประการในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีช่องโหว่ที่ต้องแก้ไขอีกมาก โดยงานวิจัยพบว่าสภาพการทำงานของแรงงานประมงยังน่าเป็นห่วง แม้ว่าแรงงานส่วนใหญ่จะได้รับการฝึกอบรมเกี่ยวกับให้ใช้อุปกรณ์ความปลอดภัยอย่างเสื้อชูชีพ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่กำหนดให้เรือทุกลำต้องมีตามกฎกระทรวงที่บังคับใช้ตั้งแต่ปี 2559 แต่มีแรงงานเพียง 12% เท่านั้นที่ระบุว่าพวกเขาได้รับการฝึกอบรมการใช้เครื่องมือประมงอย่างปลอดภัย ขณะที่ 35% ระบุว่าบนเรือไม่มียาสามัญประจำบ้านและชุดปฐมพยาบาล 16% ระบุว่าไม่มีอาหารเพียงพอ และ 3% ไม่ได้รับอนุญาตให้พักผ่อนเมื่อล้มป่วย
งานวิจัยฉบับนี้ยังว่าพบแรงงานประมง 62% ระบุว่าพวกเขามีพาสปอร์ตหรือเอกสารสำคัญประจำตัว (Certificate of Identity) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเพียง 15% ในการสำรวจขององค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) ก่อนหน้านี้ช่วงต้นปี 2560 อย่างไรก็ตาม เกือบ 2 ใน 3 ของแรงงานตอบว่าพวกเขาไม่ได้เก็บเอกสารไว้กับตัวเอง ส่วนใหญ่ถูกนายจ้าง คนเรืออาวุโส ฝ่ายบริหารจัดการของบริษัท หรือนายหน้าเก็บเอาไว้ ซึ่งผิดกฎกระทรวงที่ห้ามนายจ้างเก็บเอกสารสำคัญส่วนตัวของแรงงาน นอกจากนี้ แรงงาน 39% จำไม่ได้ว่าพวกเขาเคยเซ็นสัญญาทั้งงาน และ 95% ไม่ได้รับสำเนาสัญญาจ้างงานจากนายจ้าง ซึ่งผิดกฎหมายเช่นกัน
สำหรับประเด็นการรับรู้สิทธิแรงงาน งานวิจัยของภาคีเครือข่ายฯ ระบุว่า 70% ของแรงงานประมงรู้สึกว่าไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับสิทธิแรงงานอย่างเพียงพอ โดยกว่า 36% เข้าไม่ถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิแรงงาน และแรงงานมากถึง 90% ไม่เคยยื่นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิแรงงาน เนื่องจากไม่รู้ขอบเขตสิทธิของตนเอง
นายสมพงษ์ สระแก้ว ผู้อำนวยการมูลนิธิเครือข่ายส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงาน (LPN)เปิดเผยว่า “แม้ที่ผ่านมาจะมีความพยายามจากทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งภาคประชาสังคมที่มีเป้าหมายร่วมในการแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในภาคประมงของไทยอย่างเป็นระบบ และเราก็เห็นพัฒนาการในหลายๆ จุดตามที่ได้พูดถึงมาแล้ว แต่งานวิจัยก็สะท้อนให้เห็นว่าตัวนโยบายกับการนำไปปฏิบิติหรือบังคับใช้อาจจะยังไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกันอย่างสมบูรณ์”
จากข้อค้นพบทั้งหมดในงานวิจัย ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมฯ ได้ประกาศข้อเสนอไปยังรัฐบาลไทยทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมเพื่อพัฒนาระบบการร้องเรียนจากแรงงานในอุตสาหกรรมประมง ออกกฎหมายห้ามบังคับเก็บค่านายหน้าจากแรงงาน ส่งเสริมการตรวจสอบหน่วยงานของรัฐ และให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาไอแอลโอฉบับที่ 87 ว่าด้วยว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว และฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการร่วมเจรจาต่อรอง (ILO Convention 98/87) ที่กำหนดให้รับรองสิทธิการรวมตัวและการต่อรองของแรงงาน
นอกจากนี้ ภาคีเครือข่ายภาคประชาสังคมฯ ยังเสนอไปยังภาคเอกชนในอุตสาหกรรมประมงไทยให้เข้ามามีบทบาทในการปกป้องสิทธิแรงงานมากขึ้น ส่งเสริมการจ้างงานอย่างเป็นธรรม จ่ายค่าจ้างอย่างเหมาะสม ยุติการเก็บค่านายหน้าจากแรงงาน เพิ่มมาตรฐานความปลอดภัยบนเรือให้มีสูงขึ้น เปิดโอกาสให้แรงงานเข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน ขณะที่ภาคเอกชนที่เป็นผู้ซื้ออาหารทะเลในต่างประเทศก็ควรสนับสนุนผู้ส่งออกที่ให้ความสำคัญกับอาหารทะเลที่เป็นธรรมและยั่งยืนเช่นกัน
ประมงไม่ยั่งยืนทำสูญเสียลูกปลาเศรษฐกิจ มากกว่า 74 ชนิด กระทบเศรษฐกิจ ไม่น้อยกว่า 145 ล้านบาทต่อปี
ภาคีเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมฯ ยังเปิดเผยข้อค้นพบเบื้องต้นในงานวิจัยอีกชิ้นซึ่งศึกษาเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจของการทำประมงแบบไม่ยั่งยืน โดยพบว่าการทำประมงด้วยอวนลากและอวนล้อมปั่นไฟกลางคืนสร้างความเสียหายอย่างมากต่อทะเลไทย เพราะอวนทั้ง 2 ประเภทเป็นเครื่องมือหลักในการจับลูกปลาเศรษฐกิจไปเป็นส่วนประกอบในการผลิตอาหารสัตว์ แทนที่จะปล่อยให้โตเป็นปลาเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงกว่า 145 ล้านบาท
จากการคาดคะเนเบื้องต้นพบว่าการใช้อวนลากแผ่นตะเฆ่ทำให้สูญเสียลูกปลาเศรษฐกิจมากกว่า 74 ชนิด เช่น ปลาทู ปลากระพง ปลาอินทรี ปลาจะละเม็ด ปลาเก๋า เป็นต้น
“มีความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลไทยจะต้องทำ EHIA เพื่อประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม รวมถึงด้านเศรษฐกิจและสังคมจากการทำประมงโดยจับลูกปลาวัยอ่อน ถ้ายังไม่เร่งแก้ปัญหา เราเป็นห่วงว่าทรัพยากรทางทะเลไปจนถึงเศรษฐกิจของประเทศจะยิ่งได้รับความเสียหายมากขึ้นเรื่อยๆ” นายวิโชคศักดิ์ รณรงค์ไพรี ผู้จัดการสมาคมสมาพันธ์ชาวประมงพื้นบ้านแห่งประเทศไทย
รายงานฉบับสมบูรณ์จะเสร็จสิ้นและมีการเผยแพร่ให้สื่อมวลชนและประชาชนที่สนใจต่อไป
เปิดตัวภาคีเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมฯ
การแถลงข่าวครั้งนี้ยังถือเป็นการเปิดตัวต่อสาธารณะอย่างเป็นทางการของภาคีเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมเพื่ออาหารทะเลที่เป็นธรรมและยั่งยืน (CSO Coalition for Ethical and Sustainable Seafood) ซึ่งเป็นการรวมตัวของภาคประชาสังคมทั้งในไทยและต่างประเทศเพื่อร่วมทำงานแก้ปัญหาสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมในอุตสาหกรรมประมงไทย
“การทำงานของภาคีเครือข่ายฯ เราจะเน้นไปที่การใช้ข้อมูล งานวิจัย และหลักฐานที่เชื่อถือได้ต่างๆ เพื่อผลักดันให้ภาครัฐและเอกชนทั้งในและต่างประเทศสานต่อการแก้ปัญหาทางสิ่งแวดล้อมและทางสังคมในอุตสาหกรรมประมงไทยอย่างจริงจังมากขึ้น เราอยากให้คนไทยทุกคนกล้าพูดได้เต็มปากว่าอาหารทะเลไทยเป็นอาหารทะเลที่ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ปลอดภัย และไม่ได้ถูกผลิตจากน้ำพักน้ำแรงของแรงงานที่ถูกกดขี่” นายบรรจง นะแส นายกสมาคมสรักษ์ทะเลไทย กล่าวปิดท้าย